การปฏิบัติธรรมตามแนวทางการดูจิต เป็นวิธีการปฏิบัติธรรมที่เหมาะสำหรับคนเมืองที่ไม่ค่อยมีเวลาปลีกวิเวก แต่ยังสามารถนำแนววิธีการปฏิบัติไปประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวันได้
การดูจิต คือ การใช้สติและสัมปชัญญะในการปฏิบัติ ให้มีสติรู้ทันจิต รู้ทันอารมณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน เป็นการนำคำสอนใน สติปัฏฐาน 4 มาเป็นหลักในการปฏิบัติ การฝึกให้มีความรู้สึกตัวบ่อยๆ จะช่วยให้จิตไม่เผลอไปกับอารมณ์ที่มากระทบทาง ตา หู จมูก ลิ้น กายและใจ ซึ่งเป็นวิธีทำให้กายกับใจอยู่กับปัจจุบันได้ดี
การดูจิตจึงเป็นวิธีการอบรมพัฒนาจิตเพื่อพัฒนาชีวิตได้เป็นอย่างดี การพัฒนาจิตด้วยการดูจิตการปฏิบัติธรรมที่เหมาะสำหรับคนเมืองในยุคปัจจุบัน สำหรับผู้ที่ไม่มีเวลาไปวัด หรือไม่สามารถไปปลีกวิเวกนานๆ วิธีการปฏิบัติด้วยการดูจิตเป็นวิธีที่ตอบโจทย์คนเมืองรุ่นใหม่ได้เป็นอย่างดี เพราะเป็นวิธีในการปฏิบัติธรรมอย่างง่าย เนื่องด้วยมีความสะดวกในแนวทางการปฏิบัติ รวมถึงสะดวกในเรื่องของสถานที่และเวลา จึงเหมาะสำหรับคนเมืองในยุคปัจจุบันนี้ ที่สามารถปฏิบัติธรรมไปด้วย และยังทำงานหรือใช้ชีวิตประจำวันได้ตามปกติ ด้วยการปฏิบัติในลักษณะของการดูจิต ซึ่งการดูจิตเป็นวิธีที่รู้ทันจิตในปัจจุบัน เป็นการพิจารณาจิตด้วยปัญญา การดูจิต หมายถึงการเจริญวิปัสสนา โดยเริ่มต้นจากการรู้นามธรรม ซึ่งเมื่อมีความชำนาญแล้วก็จะรู้ครบสติปัฏฐานทั้งสี่เอง
การปฏิบัติในการดูจิต
เครื่องมือที่ใช้สำหรับการปฏิบัติธรรม คือสติและสัมปชัญญะ ซึ่งจะใช้เป็นเครื่องมือในการสังเกตุ สิ่งที่กำลังปรากฏเกิดขึ้นกับจิต เป็นแนวการปฏิบัติที่ไม่บังคับ จะเป็นการยืน เดิน นั่งหรือนอน เคยเดินอย่างไรก็เดินให้เป็นปกติ ไม่ได้สำคัญว่าต้องเดินช้าหรือเดินเร็ว แต่สำคัญตรงที่ว่าให้เดินแบบมีสติสัมปชัญญะรู้ตัว เป็นการฝึกให้มีสติรู้ทันอารมณ์ที่กำลังเกิดขึ้นในปัจจุบัน อารมณ์ต่างๆ ที่เกิดขึ้นนั้นมาจากจิตมีการส่งออกไปทาง ตา หู จมูก ลิ้น กาย และใจ ทำให้จิตมีการเผลอไปกับอารมณ์ที่มากระทบนั้น
แนวทางในการปฏิบัติ ต้องรู้ทันสิ่งที่เกิดขึ้นกับจิต เช่น ความลังเลสงสัย ความอยาก ความกังวล ความสุข ความทุกข์ ฯลฯเป็นการหัดให้มีสติ ให้มีการรู้ตัวกับอารมณ์ที่กำลังปรากฏ และเตือนให้ทำความรู้สึกตัว ไม่เผลอ การกระตุ้นให้ไม่เผลอและไม่เพ่ง ก็คือการพยามยามให้มีสัมปชัญญะ คือความรู้ตัวไว้เสมอๆ
การมีสติสัมปชัญญะระลึกรู้ตัวไว้เสมอๆ คือ การระลึกรู้ กาย เวทนา จิต และธรรม ซึ่งเป็นหลักการในการเจริญสติปัฏฐาน 4 ในเบื้องต้นของผู้ที่ฝึกใหม่ๆ อาจจะยังดูจิตไม่ได้ หรือสังเกตการที่จิตเผลอหรือไหลไปกับอารมณ์ภายนอกไม่ทัน ก็จะให้ใช้คำบริกรรมเข้ามาช่วยด้วยการบริกรรม “พุทโธ” ไว้ในใจ
วิธีในการดูจิต ไม่ใช่ว่าจะต้องบังคับจิตให้อยู่กับที่ แต่การภาวนาพุทโธไปเพื่อจะดูว่าจิตทำงานยังไง เป็นการภาวนาเพื่อดูจิต ซึ่งพอภาวนาไปสักพักอาจจะมีการลืมการรู้สึกตัว ทำให้มีการเผลอจากการกำหนด สิ่งที่เผลอหรือสิ่งที่ทำให้ลืมการรู้สึกตัวนั้นก็คือจิต ถ้ามีการรู้สึกตัวแล้วเห็นว่าเผลอ คือการได้เห็นจิตแล้ว
ช่วงแรกๆ อาจจะไม่ทันเห็นตั้งแต่จังหวะแรกที่หลงไป แต่เมื่อพอลืมตัวไปตั้งนานแล้ว จึงค่อยรู้สึกตัวว่ามีการเผลอ ถ้าเห็นอย่างนี้เรียกว่า ได้สติ คือเห็นสภาวะที่ลืมการรู้ตัว ก็ให้เริ่มสังเกตจิตใหม่ โดยไม่ต้องไปแก้ ไม่ต้องไปดึงจิตที่หลงหายไป ถ้าดึงจะกลายเป็นการบังคับจิตที่เผลอกลับมา การบังคับจิตจะไม่ใช่การรู้สึกตัวในอารมณ์ปัจจุบัน วิธีในการดูจิตจึงเป็นวิธีที่ให้รู้ตามความเป็นจริง รู้ไปตรงๆ เป็นอย่างไร รู้ไปอย่างนั้น ไม่ดัดแปลง ไม่กดข่ม ไม่บังคับ จิตจะดีก็ได้ ไม่ดีก็ได้ ก็ให้รู้ไปอย่างนั้น การดูจิตจึงไม่ใช่การให้อยู่นิ่งสงบในตำแหน่งเดียว แต่ให้คอยสังเกตจิตเมื่อจิตไหลออกไปทางไหน สติที่เป็นเครื่องมือก็จะทำหน้าที่รู้ทัน ส่วนใหญ่จิตจะเผลอไปทางตากับทางความคิด จิตอาจไหลไปทางตาเมื่อเห็นรูป ก็ให้รู้ทันว่าจิตเผลอไปเพ่งจ้องรูป หรือจิตสนใจอยู่ในความคิด ก็ให้รู้ทันว่าจิตไม่ได้อยู่กับความรู้สึกตัว แต่ได้ให้ความสนใจโดยไม่รู้ตัวไปในโลกของความคิด เมื่อจิตเผลอหรือให้ความสนใจโดยไม่รู้ตัวนั้น แสดงว่าจิตนั้นได้ฟุ้งไปในอารมณ์ภายนอก วิธีที่ไม่ให้จิตเผลอคือ ต้องฝึกให้มีความรู้สึกตัว ความรู้สึกตัวจะเป็นการรู้ทันจิตที่เผลอ ดังนั้น จึงต้องฝึกให้มีความรู้สึกตัวบ่อยๆ จะทำให้จิตรู้ทันอารมณ์ในปัจจุบัน เพราะทันใดที่รู้สึกตัวจะเป็นจังหวะที่มีสติ สติจะทำหน้าที่ให้จิตเป็นกลาง
ในการทำหน้าที่ของสติ เปรียบเหมือนเป็นนายทหารเฝ้าหน้าประตู ที่คอยระวัง เฝ้าดูคนเข้าออกอยู่เสมอ และคอยกำกับให้สิ่งที่ดีให้เข้าออกได้ และจะคอยกันเมื่อมีสิ่งที่ไม่ดีเข้ามา การปฏิบัติหน้าที่ของสติ จึงคอยยับยั้งตนเองไม่ให้หลงเพลินไปกับความชั่วความไม่ดี สติจะคอยเตือนตนให้ทำความดี และไม่เปิดโอกาสให้ทำความชั่ว ทำให้ช่วงจังหวะที่สติทำงานในการระลึกรู้ทันอารมณ์ต่างๆ ที่เป็นช่วงที่จิตมีความเป็นกลาง จึงทำให้จิตไม่เอนเอียงไปในทางดีหรือทางชั่ว เพราะหน้าที่ของสติคือ การระลึกรู้ จึงรู้ว่าจิตขณะนั้นดีหรือชั่ว
เมื่อฝึกดูจิตบ่อยๆ จะทำให้เห็นจิตขณะที่กำลังรับอารมณ์ต่างๆ ได้มากขึ้น เมื่อสติเป็นตัวรู้ดีรู้ชั่ว วิธีการดูจิตจึงเป็นหนทางที่ทำให้จิตมีการพัฒนาไปในทางที่ดีขึ้น เป็นวิธีการฝึกให้ทันกับอารมณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน การดูจิตจึงเป็นการพัฒนาจิตได้ดี เป็นวิธีที่ทำให้มีความเข้าใจและยอมรับกับความจริงที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน
การดูจิตจึงเป็นวิธีการปฏิบัติธรรมแบบง่ายๆ สามารถปฏิบัติได้ตลอดเวลา เป็นวิธีที่ฝึกให้รู้ทันจิต รู้ทันอารมณ์ของตนเอง การไม่เผลอหรือทำให้เผลอน้อยลง เป็นการทำให้จิตใจอยู่กับปัจจุบันอยู่กับความเป็นจริงมากขึ้น เป็นแนวทางที่ทำให้เข้าใจและยอมรับกับความจริงได้ดีขึ้น เป็นวิธีการปฏิบัติที่เหมาะกับคนในยุคปัจจุบันที่ผู้คนมีความเร่งรีบ มีเวลาน้อย ได้ฝึกการมีสติอยู่กับตนเอง ซึ่งจะเป็นการช่วยบรรเทาความเครียดความทุกข์ให้ลดลงได้ จากวิธีการพัฒนาชีวิตด้วยการดูจิต