อิทัปปัจจยตาในทัศนะของพุทธทาสภิกขุ
อิทัปปัจจยตา เป็นหลักธรรมที่มีความสำคัญเรื่องหนึ่งในพระพุทธศาสนา เป็นหลักคำสอนที่อธิบายเรื่องกฎธรรมชาติ ที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องความจริงและเรื่องของชีวิตหัวใจสำคัญของอิทัปปัจจยตาคือ การที่สิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย จึงมีสิ่งนี้เกิดขึ้น หรือเป็นสิ่งที่อธิบายความเกิดดับของสรรพสิ่งท่านพุทธทาสภิกขุตีความคำสอนเรื่องอิทัปปัจจยตาไว้ 2 ลักษณะคือ
1.ในลักษณะสัจธรรม คือมองว่า อิทัปปัจจยตา มีลักษณะเหมือนปฐมเหตุของสรรพสิ่ง สรรพสิ่งล้วนอยู่ภายใต้กฎเดียวกันคืออิทัปปัจจยตา หรือกล่าวอีกนัยหนึ่ง คืออิทัปปัจจยตาเป็นพระเจ้าในความหมายว่า เป็นต้นกำเนิด คอยควบคุมสรรพสิ่ง
2.ในลักษณะที่เป็นจริยธรรม คือมองว่าคำสอนเรื่องอิทัปปัจจยตา สามารถนำมาปฏิบัติในชีวิตประจำวันได้ เน้นให้เกิดประโยชน์ในการปฏิบัติชีวิตประจำวันเป็นสำคัญ
บรรดาพระธรรมเทศนามากมายของท่านพุทธทาสภิกขุ (พ.ศ.2449-2536) มหาสมณะผู้ทุ่มเทชีวิตสร้างสรรค์ผลงานด้านพระพุทธศาสนามากกว่าครึ่งศตวรรษ จนเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่พุทธศาสนิกชนภายในและภายนอกประเทศนั้น มีทั้งหนังสือที่เขียนเป็นความเรียงอย่างกระชับงดงาม และเป็นหนังสือบนธรรมาสน์ อันเกิดจากการอัดเทปธรรมเทศนาแล้วถอดออกมาพิมพ์เผยแพร่ ล้วนเป็นอาหารทางปัญญาที่มากด้วยคุณค่า สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงทางด้านจิตวิญญาณ ความศรัทธาต่อศีลธรรม การปลูกฝังมนุษยธรรม และเสริมสร้างสติปัญญาในการแสวงหาความจริงแท้ของชีวิต งานชิ้นเอกที่ท่านพุทธทาสภิกขุศึกษารวบรวมจากพระไตรปิฎกและเชื่อมร้อยพระพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในที่ต่าง ๆ มาเชื่อมโยงนัยเข้าไว้เป็น หมวดหมู่แล้วอธิบายให้แจ่มแจ้งกระจ่างเป็น “แก่นปรัชญา” ของพุทธศาสนา เป็น “วิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ของพระพุทธศาสนา” เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา และเป็นกฎเหนือกฎทั้งปวงคือหลักธรรมที่ว่าด้วยเรื่อง “อิทัปปัจจยตา”
อิทัปปัจจยตา เป็นหลักธรรมที่พุทธทาสภิกขุให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ในบั้นปลายของชีวิตท่านจะเทศนาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ในการสนทนาธรรมกับปัญญาชนทั้งไทยและเทศและนักบวชในศาสนาอื่น พุทธทาสภิกขุปรารถนาให้นักคิดนักเขียนหรือนักวิชาการเรียนรู้หลักอิทัปปัจจยตา และท่านได้ใช้หลักอิทัปปัจจยตาเป็นธรรมหรือสื่อในการสมานความคิดเข้ากับหลักธรรมของศาสนาอื่นๆ พุทธทาสภิกขุ เน้นอยู่เสมอว่า พุทธบริษัทจะต้องเรียนรู้หลักอิทัปปัจจยตาและกล่าวถึงคำนี้บ่อยในฐานะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เพราะอิทัปปัจจยตา เป็นทั้งวิธีคิดและหลักปรัชญาที่นำไปสู่การบรรลุธรรมได้ กฏอิทัปปัจจยตาถือเป็นหัวใจปฏิจจสมุปบาท มีใจความดังนี้
บรรดาพระธรรมเทศนามากมายของท่านพุทธทาสภิกขุ (พ.ศ.2449-2536) มหาสมณะผู้ทุ่มเทชีวิตสร้างสรรค์ผลงานด้านพระพุทธศาสนามากกว่าครึ่งศตวรรษ จนเป็นที่รู้จักกันดีในหมู่พุทธศาสนิกชนภายในและภายนอกประเทศนั้น มีทั้งหนังสือที่เขียนเป็นความเรียงอย่างกระชับงดงาม และเป็นหนังสือบนธรรมาสน์ อันเกิดจากการอัดเทปธรรมเทศนาแล้วถอดออกมาพิมพ์เผยแพร่ ล้วนเป็นอาหารทางปัญญาที่มากด้วยคุณค่า สร้างคุณูปการอันใหญ่หลวงทางด้านจิตวิญญาณ ความศรัทธาต่อศีลธรรม การปลูกฝังมนุษยธรรม และเสริมสร้างสติปัญญาในการแสวงหาความจริงแท้ของชีวิต งานชิ้นเอกที่ท่านพุทธทาสภิกขุศึกษารวบรวมจากพระไตรปิฎกและเชื่อมร้อยพระพุทธวจนะที่พระพุทธองค์ตรัสไว้ในที่ต่าง ๆ มาเชื่อมโยงนัยเข้าไว้เป็น หมวดหมู่แล้วอธิบายให้แจ่มแจ้งกระจ่างเป็น “แก่นปรัชญา” ของพุทธศาสนา เป็น “วิธีคิดที่เป็นวิทยาศาสตร์ของพระพุทธศาสนา” เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา และเป็นกฎเหนือกฎทั้งปวงคือหลักธรรมที่ว่าด้วยเรื่อง “อิทัปปัจจยตา”
อิทัปปัจจยตา เป็นหลักธรรมที่พุทธทาสภิกขุให้ความสำคัญอย่างยิ่ง ในบั้นปลายของชีวิตท่านจะเทศนาเรื่องนี้อย่างจริงจัง ในการสนทนาธรรมกับปัญญาชนทั้งไทยและเทศและนักบวชในศาสนาอื่น พุทธทาสภิกขุปรารถนาให้นักคิดนักเขียนหรือนักวิชาการเรียนรู้หลักอิทัปปัจจยตา และท่านได้ใช้หลักอิทัปปัจจยตาเป็นธรรมหรือสื่อในการสมานความคิดเข้ากับหลักธรรมของศาสนาอื่นๆ พุทธทาสภิกขุ เน้นอยู่เสมอว่า พุทธบริษัทจะต้องเรียนรู้หลักอิทัปปัจจยตาและกล่าวถึงคำนี้บ่อยในฐานะเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา เพราะอิทัปปัจจยตา เป็นทั้งวิธีคิดและหลักปรัชญาที่นำไปสู่การบรรลุธรรมได้ กฏอิทัปปัจจยตาถือเป็นหัวใจปฏิจจสมุปบาท มีใจความดังนี้
เมื่อสิ่งนี้มี สิ่งนี้ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้จึงดับไป
อิทัปปัจจยตา คือคำย่อของเรื่องปฏิจจสมุปบาท โดยมีใจความแต่เพียงว่า
"เมื่อมีสิ่งนี้ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ ย่อมเกิดขึ้น"
ตลอดถึงปฏิปักขนัยที่กลับกันอยู่ด้วยในตัว คือว่า
"ถ้าไม่มีสิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย สิ่งนี้ ๆ ก็ไม่เกิดขึ้น"
อิทัปปัจจยตา สิ่งหนึ่งเป็นปัจจัยของอีกสิ่งหนึ่ง เมื่อสิ่งหนึ่งเกิดทำให้อีกสิ่งหนึ่งเกิดตาม เมื่อสิ่งนั้นดับอีกสิ่งหนึ่งพึงดับไปด้วย ปัจจัยหมายถึง เครื่องสนับสนุน เช่น เสาเป็นปัจจัยของหลังคา ถ้าไม่มีเสา หลังคาก็อยู่ไม่ได้ ถ้าไม่มีหลังคา เสาก็ไม่มีประโยชน์ ทั้งเสาและหลังคาเป็นปัจจัยของกันและกันสรรพสิ่งล้วนเกิดจากการที่ปัจจัยมารวมกัน ชีวิตเกิดจากการมาประชุมของขันธ์ห้า องค์ประกอบของขันธ์ห้าต่างเป็นปัจจัยของกันและกัน ถ้าขาดสิ่งหนึ่ง ทำให้ชีวิตดับไป
เรื่องของอิทัปปัจจยตา สามารถใช้อธิบายปรากฎการณ์ของการเกิดและดับของสรรพสิ่งได้อย่างดี แม้แต่สิ่งที่เห็นอยู่ทั่วไปในทางโลกและทางธรรม เป็นหัวใจสำคัญในการสร้างและให้กำเนิดสรรพสิ่ง
อิทัปปัจจยตา (หรือปฏิจจสมุปบาท) เป็นหลักธรรมที่มีความสำคัญเรื่องหนึ่งใน
พระพุทธศาสนา โดยเฉพาะในพระพุทธศาสนาเถรวาท เป็นหลักคำสอนที่อธิบายเรื่องกฎธรรมชาติ ที่เกี่ยวเนื่องกับเรื่องความจริงและเรื่องของชีวิตได้เป็นอย่างดี หัวใจสำคัญของอิทัปปัจจยตาคือ การที่สิ่งนี้ ๆ เป็นปัจจัย จึงมีสิ่งนี้เกิดขึ้น หรือเป็นสิ่งที่อธิบายความเกิดดับของสรรพสิ่ง พูดอีกนัยหนึ่ง สรรพสิ่งคืออิทัปปัจจยตา ในความหมายว่า เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป แบบอิงอาศัยกันและกัน
คำว่า สรรพสิ่ง ในทางพุทธปรัชญา ครอบคลุมถึงเรื่องธรรมชาติ และกฎธรรมชาติ เมื่อกล่าวถึงกฎธรรมชาติ จะเห็นได้ว่าพระพุทธศาสนาเถรวาทเชื่อว่า สิ่งทั้งปวงล้วนเป็นสิ่งที่เป็นธรรมชาติหรือเป็นไปตามธรรมชาติ ไม่มีสิ่งเหนือธรรมชาติอย่างพระเจ้าหรืออัตตา ทุกสิ่งทุกอย่างต้องดำเนินตามวิถีทางของธรรมชาติอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ วิถีทางธรรมชาติดังกล่าวก็คือลักษณะหรือสภาวะที่เกิดขึ้นแก่สิ่งทั้งหลายในธรรมชาติประจำจนเป็นเหมือน “ระเบียบ” หรือ “กฎ” ที่สิ่งทั้งหลายจะต้องทำตามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ กฎธรรมชาติหรือธรรมนิยามหมายถึงระเบียบหรือกฎที่ปรากฏในธรรมชาตินี้นั่นเอง กฎธรรมชาติจึงไม่ได้หมายถึง “สิ่ง” หรือ “สิ่งนามธรรม” บางอย่างที่มาคอยควบคุมบังคับให้สิ่งทั้งหลายเป็นไปตามที่สิ่งนั้นต้องการและไม่ใช่กฎที่สิ่งศักดิ์สิทธิ์ผู้ทรงมหิทธานุภาพนำมาบังคับใช้กับสิ่งทั้งหลายในธรรมชาติ กฎธรรมชาติจึงไม่ใช่สิ่งอื่นใดนอกจากลักษณะหรือปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นประจำในธรรมชาติอย่างสม่ำเสมอ
พระพุทธศาสนาเถรวาทถือว่า “สิ่ง” ทั้งปวงต้องเปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยที่เรียกว่า “สังขตธรรม” ส่วน “อสังขตธรรม” ที่ไม่เปลี่ยนแปลงไปตามเหตุปัจจัยมีเพียงอย่างเดียวคือพระนิพพาน เพราะพระพุทธเจ้าตรัสไว้ชัดเจนในอสังขตสูตรว่า อสังขตธรรมคือความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ และความสิ้นโมหะและในคัมภีร์กถาวัตถุของอภิธรรมปิฎกก็ยืนยันความคิดที่ว่าอสังขตธรรมมีพระนิพพานเพียงอย่างเดียว ถ้ากฎเหล่านี้เป็น “สิ่ง” สิ่งหนึ่ง สิ่งนั้นก็ต้องเป็นอสังขตธรรมอีกชนิดหนึ่ง เพราะกฎเป็นสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง (ถ้าเปลี่ยนแปลงได้ก็ไม่ใช่กฎ) ซึ่งจะขัดกับทัศนะกระแสหลักของพระพุทธศาสนาเถรวาท และคำว่า“ไตรลักษณ์” หรือ “สามัญญลักษณะ” ที่เป็นคำเรียกกฎธรรมชาติอย่างหนึ่งในทัศนะของพระพุทธศาสนาเถรวาทก็ใช้คำว่า “ลักษณะ” ซึ่งแสดงว่า กฎธรรมชาตินี้ไม่ใช่ “สิ่ง” สิ่งหนึ่ง แต่เป็นลักษณะหรือสภาวะที่ปรากฏในสังขตธรรมทั้งหลายความหมายของอิทัปปัจจยตามีข้อที่พึงทำความเข้าใจเป็นเบื้องต้นก่อนว่า เท่าที่พบในพระไตรปิฎก อิทัปปัจจยตา มักจะอยู่ในรูปของไวพจน์ของปฏิจจสมุปบาท คือเป็นคำที่ใช้แทนกัน อิทัปปัจจยตา มีความหมายว่า ความที่มีสิ่งเป็นปัจจัย จึงมีสิ่งนี้ คำว่า “อิทัปปัจจยตา” แปลตามศัพท์ว่า “ความที่สิ่งนี้เป็นปัจจัย” มาจากการผสมกันของคำว่า “อิท” (สิ่ง) นี้ คำว่า “ปัจจัย” ที่แปลว่า “ปัจจัย” และคำว่า “ตา” ซึ่งเป็นศัพท์ประเภทปัจจัยที่ใช้แทนคำว่า “ภาวะ” ที่แปลว่า “ความมี” หรือ “ความเป็น” เมื่อรวมกันจึงหมายถึงภาวะหรืออาการที่สิ่งสิ่งหนึ่งเป็นปัจจัยของอีกสิ่งหนึ่ง นั่นก็คือสิ่งหนึ่งเป็น “เหตุ” ของอีกสิ่งหนึ่งที่เป็น “ผล” เหมือนบิดามารดาเป็นเหตุให้เกิดผลคือบุตร บุตรไม่ได้เป็นเหตุให้เกิดมารดาบิดา หรือเหมือนออกซิเจน ความร้อน และเชื้อเพลิงทำให้เกิดไฟ ไฟไม่ใช่เหตุเกิดของออกซิเจนความร้อน และเชื้อเพลิง ดังนั้น อิทัปปัจจยตาจึงหมายถึงความเป็นเหตุและผลแบบสิ่งหนึ่งอาศัยสิ่งหนึ่ง จัดเป็นความสัมพันธ์แบบทางเดียว ไม่ใช่ความสัมพันธ์แบบสองทางอย่าง ความสัมพันธ์แบบของอิทัปปัจจยตาก็สามารถรวมลงในความสัมพันธ์แบบปฏิจจสมุปบาทได้ เพราะความสัมพันธ์แบบทางเดียวนี้อาจเกิดขึ้นในรูปแบบของวัฏจักรคือหมุนวันสลับกันเป็นเหตุและผลซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของความสัมพันธ์แบบปฎิจจสมุปบาทดังนั้น คำว่า “ปฎิจจสมุปบาท” จึงดูจะครอบคลุมความหมายและลักษณะของความเป็นเหตุและผลหรือความสัมพันธ์ในด้านเป็นเหตุและผลมากกว่าคำว่า “อิทัปปัจจยตา”
ในหนังสือเรื่องอิทัปปัจจยตา พุทธทาสภิกขุได้ตีความอิทัปปัจจยตาในฐานะต่าง ๆ 13 ฐานะ ซึ่งมีรายละเอียดพอจะนำมากล่าวเป็นบางส่วนได้ ดังนี้
1. อิทัปปัจจยตาในฐานะเป็นพุทธพจน์ที่ถูกมองข้าม การตีความในประเด็นนี้ เพื่อ
ต้องการตอบปัญหาว่า หลักคำสอนเรื่องใดที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา พุทธทาสภิกขุมองว่าหัวใจของพระพุทธศาสนาก็คืออิทัปัจจยตา เพราะมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอิทัปัจจยตาทั้งสิ้น ในความหมายว่าต่างอิงอาศัยหรือเป็นปัจจัยแก่กันและกันทั้งสิ้น
ต้องการตอบปัญหาว่า หลักคำสอนเรื่องใดที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา พุทธทาสภิกขุมองว่าหัวใจของพระพุทธศาสนาก็คืออิทัปัจจยตา เพราะมองว่าทุกสิ่งทุกอย่างล้วนเป็นอิทัปัจจยตาทั้งสิ้น ในความหมายว่าต่างอิงอาศัยหรือเป็นปัจจัยแก่กันและกันทั้งสิ้น
คำถามว่า อะไรคือหัวใจของพระพุทธศาสนา บางท่านก็บอกว่า อริยสัจ 4 บางท่านก็ไตรลักษณ์หรือโอวาทปาฏิโมกข์ และอริยมรรคมีองค์ 8 หลักธรรมเหล่านี้ พุทธทาสภิกขุมองว่า ล้วนแต่มีลักษณะของอิทัปปัจจยตาทั้งสิ้น ตามที่กล่าวมาตั้งแต่แรกแล้วว่า อิทัปปัจจยตา มีกฎสั้น ๆ ว่า เพราะมีสิ่งนี้ จึงมีสิ่งนี้ ถ้าเราเอาแนวคิดนี้ไปจับหลักธรรมหลาย ๆ หมวด จะเห็นว่า มีลักษณะการอิงอาศัยกัน หรือเป็นเหตุปัจจัยแก่กันและกันทั้งสิ้น การอิงอาศัยกันนี้ มองได้ทั้งในแง่ของเหตุผล หรือสายเกิดกับสายดับ อย่างเช่นไตรลักษณ์ก็มีลักษณะเป็นเหตุผลของกันคือ สิ่งใดไม่เที่ยง สิ่งนั้นเป็นทุกข์ สิ่งใดเป็นทุกข์สิ่งนั้นเป็นอนัตตา ถ้าวิเคราะห์ตามแนวอิทัปปัจจยตาจะเห็นว่า อนิจฺจํ เป็นเหตุ ทุกฺขํเป็นผล (ของอนิจฺจํ) และ เป็นเหตุของอนัตตา ๆ เป็นผล หรือเป็นบทสรุป หรืออริยสัจ 4 ก็แบ่งเป็น 2 สาย คือสายเกิดกับสายดับคือ ทุกข์ กับ นิโรธ เป็นผล สมุทัย กับมรรค เป็นเหตุ แม้กระทั่งเรื่องโอวาทปาฏิโมกข์ พุทธทาสภิกขุก็มองว่าไม่ใช่หัวใจของพระพุทธศาสนา เพราะการสอนให้เว้นชั่ว ทำดี ทำใจให้บริสุทธิ์ ศาสนาไหน ๆ ก็สอนกันทั้งนั้น โอวาทปาฏิโมกข์ของพุทธศาสนาจะแตกต่างจากคำสอนในศาสนาอื่นก็ต่อแม่ สอนให้ทำจิตใจให้สะอาด ให้รู้แจ้งในเรื่องอิทัปปัจจยตาเท่านั้น จึงจะประเสริฐบริสุทธิ์จากกิเลส แต่ก็ยังอยู่ในขอบเขตของอิทัปปัจจยตา อยู่นั่นเอง
นอกจากนี้พุทธทาสภิกขุ ยังมองว่าอิทัปปัจจยตาหรือปฏิจจสมุปบาท เป็นสิ่งที่
พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาหลังจากตรัสรู้ เป็นคำที่พระองค์นำมาเปล่งเล่นเวลาอยู่ว่าง ๆ คล้ายๆ กับบทเพลงที่ร้องเล่นเมื่อสบายอารมณ์ ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ตอนเสวยวิมุตติสุข ดังนี้
โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า แรกตรัสรู้ ประทับอยู่ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียวเสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ตลอด 7 วัน และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลมและปฏิโลม ตลอดปฐมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้
พระพุทธเจ้าทรงพิจารณาหลังจากตรัสรู้ เป็นคำที่พระองค์นำมาเปล่งเล่นเวลาอยู่ว่าง ๆ คล้ายๆ กับบทเพลงที่ร้องเล่นเมื่อสบายอารมณ์ ดังจะเห็นได้จากเหตุการณ์ตอนเสวยวิมุตติสุข ดังนี้
โดยสมัยนั้น พระผู้มีพระภาคพุทธเจ้า แรกตรัสรู้ ประทับอยู่ ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ ใกล้ฝั่งแม่น้ำเนรัญชรา ในอุรุเวลาประเทศ. ครั้งนั้น พระผู้มีพระภาคประทับนั่งด้วยบัลลังก์เดียวเสวยวิมุตติสุข ณ ควงไม้โพธิพฤกษ์ตลอด 7 วัน และทรงมนสิการปฏิจจสมุปบาทเป็นอนุโลมและปฏิโลม ตลอดปฐมยามแห่งราตรี ว่าดังนี้
ปฏิจจสมุปบาท อนุโลม
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมเกิด ด้วยประการฉะนี้
ปฏิจจสมุปบาท ปฏิโลม
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ
อนึ่ง เพราะอวิชชานั่นแหละดับโดยไม่เหลือด้วยมรรคคือวิราคะ สังขาร จึงดับ
เพราะสังขารดับ วิญญาณจึงดับ
เพราะวิญญาณดับ นามรูปจึงดับ
เพราะนามรูปดับ สฬายตนะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะสฬายตนะดับ ผัสสะจึงดับ
เพราะผัสสะดับ เวทนาจึงดับ
เพราะเวทนาดับ ตัณหาจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะตัณหาดับ อุปาทานจึงดับ
เพราะอุปาทานดับ ภพจึงดับ
เพราะภพดับ ชาติจึงดับ
เพราะชาติดับ ชรา มรณะ โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส จึงดับ
เป็นอันว่ากองทุกข์ทั้งมวลนั่นย่อมดับ ด้วยประการฉะนี้
อิทัปปัจจยตา ที่เป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา พุทธทาสภิกขุมองว่า เพราะมี
ความหมายครอบคลุมคำว่า “ธรรม” ทั้ง 4 ความหมายคือ ตัวธรรมชาติก็คือ อิทัปปัจจยตากฎเกณฑ์ของธรรมชาติทั้งหลาย ก็คือ กฎอิทัปปัจจยตา หน้าที่ของมนุษย์ที่จะพึงปฏิบัติต่อกฎเกณฑ์นั้น ก็คืออิทัปปัจจยตา ผลที่มนุษย์จะได้รับออกมาเป็นมรรค ผล นิพพาน ก็คืออิทัปปัจจยตา ฉะนั้น ธรรมทั้งปวงก็คืออิทัปปัจจยตา ไม่ควรยึดมั่นโดยความเป็นตัวกูของกู ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอิทัปปัจจยตา อย่าพึงยึดถือว่าเป็นตัวเราหรือของเรา นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง
ความหมายครอบคลุมคำว่า “ธรรม” ทั้ง 4 ความหมายคือ ตัวธรรมชาติก็คือ อิทัปปัจจยตากฎเกณฑ์ของธรรมชาติทั้งหลาย ก็คือ กฎอิทัปปัจจยตา หน้าที่ของมนุษย์ที่จะพึงปฏิบัติต่อกฎเกณฑ์นั้น ก็คืออิทัปปัจจยตา ผลที่มนุษย์จะได้รับออกมาเป็นมรรค ผล นิพพาน ก็คืออิทัปปัจจยตา ฉะนั้น ธรรมทั้งปวงก็คืออิทัปปัจจยตา ไม่ควรยึดมั่นโดยความเป็นตัวกูของกู ธรรมทั้งหลายทั้งปวง เป็นอิทัปปัจจยตา อย่าพึงยึดถือว่าเป็นตัวเราหรือของเรา นี่คือหัวใจของพระพุทธศาสนาที่แท้จริง
2.อิทัปปัจจยตาในฐานะเป็นศาสตร์หรือวิชาของโลก ดังได้กล่าวมาแล้วว่า อิทัปปัจจยตา มีกฎว่า เมื่อสิ่งนี้มีอยู่ สิ่งนี้ย่อมมี เพราะความเกิดขึ้นของสิ่งนี้ สิ่งนี้ย่อมเกิดขึ้น เมื่อสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้ย่อมไม่มี เพราะความดับไปแห่งสิ่งนี้ สิ่งนี้ย่อมดับ จากคำกล่าวนี้ ทำให้เรามองเห็น ศาสตร์หรือวิชาการทั้งหลายล้วนเกิดขึ้นตามหลักนี้ทั้งสิ้น