ถ้าเทียบในขันธ์ 5 สติอยู่ในสังขารขันธ์ ส่วนจิตคือวิญญาณขันธ์ จิตเป็นนามธรรม ที่มีลักษณะ คือ รู้อารมณ์ เกิดดับสืบเนื่องกันไม่ขาดสาย
สติ ไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก คือเป็นนามธรรมที่เกิดร่วมกับจิตที่เป็นกุศล ไม่เกิดกับจิตที่เป็นอกุศลเลย สติ แปลว่า ระลึกได้, ไม่เผลอ, ไม่หลงลืม สติโดยทั่วไป จะหมายในแง่ว่า รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ใช้รถใช้ถนนอย่าขาดสติ เป็นต้น
แต่สติที่ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานสอน จะเน้นไปที่สติปัฏฐาน คือ การที่มีสติอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยมีฐานที่จะใช้สติไปคอยระลึกรู้อยู่ 4 แห่ง คือกาย, เวทนา, จิต, ธรรม โดยรู้เท่าทันตามสภาวะของมัน และไม่ถูกครอบงำด้วยความยินดียินร้าย ในมหาสติปัฏฐานสูตร มีพุทธพจน์ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย สัมมาสติเป็นไฉน ? นี้เรียกว่าสัมมาสติ คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
จิตที่ขาดสติ มีได้ (และมีมากด้วย) แต่สติต้องเกิดดับพร้อมกับจิตเท่านั้น มีสติโดยไม่มีจิตไม่ได้ เพราะสติเป็นเจตสิก คือเป็นธรรมที่ประกอบกับจิต เป็นคุณสมบัติของจิต ซึ่งเป็นคุณสมบัติฝ่ายดี คือเกิดกับจิตที่ดีงาม ที่ว่า “จิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์” นั้น อารมณ์ ในที่นี้หมายถึง สิ่งที่ถูกรู้โดยจิต มีทั้งที่เป็นบัญญัติ และที่เป็นปรมัตถ์ หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า รูป – นาม เมื่อมีโกรธเกิดขึ้น แล้วค่อยตามรู้ความโกรธ จิตขณะที่โกรธ ไม่มีสติ จิตขณะที่รู้ว่าโกรธ ขณะนั้นมีสติ
สติ ไม่ใช่จิต แต่เป็นเจตสิก คือเป็นนามธรรมที่เกิดร่วมกับจิตที่เป็นกุศล ไม่เกิดกับจิตที่เป็นอกุศลเลย สติ แปลว่า ระลึกได้, ไม่เผลอ, ไม่หลงลืม สติโดยทั่วไป จะหมายในแง่ว่า รู้ตัวว่ากำลังทำอะไรอยู่ ใช้รถใช้ถนนอย่าขาดสติ เป็นต้น
แต่สติที่ครูบาอาจารย์สายกรรมฐานสอน จะเน้นไปที่สติปัฏฐาน คือ การที่มีสติอยู่ในชีวิตประจำวัน โดยมีฐานที่จะใช้สติไปคอยระลึกรู้อยู่ 4 แห่ง คือกาย, เวทนา, จิต, ธรรม โดยรู้เท่าทันตามสภาวะของมัน และไม่ถูกครอบงำด้วยความยินดียินร้าย ในมหาสติปัฏฐานสูตร มีพุทธพจน์ว่า
“ภิกษุทั้งหลาย สัมมาสติเป็นไฉน ? นี้เรียกว่าสัมมาสติ คือ ภิกษุในธรรมวินัยนี้
- ตามเห็นกายในกาย มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ ปลอดไร้อภิชฌาและโทมนัสในโลก
- ตามเห็นเวทนาในเวทนา มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ ปลอดไร้อภิชฌาและโทมนัสในโลก
- ตามเห็นจิตในจิต มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ ปลอดไร้อภิชฌาและโทมนัสในโลก
- ตามเห็นธรรมในธรรม มีความเพียร มีสัมปชัญญะ มีสติ ปลอดไร้อภิชฌาและโทมนัสในโลก”
จิตที่ขาดสติ มีได้ (และมีมากด้วย) แต่สติต้องเกิดดับพร้อมกับจิตเท่านั้น มีสติโดยไม่มีจิตไม่ได้ เพราะสติเป็นเจตสิก คือเป็นธรรมที่ประกอบกับจิต เป็นคุณสมบัติของจิต ซึ่งเป็นคุณสมบัติฝ่ายดี คือเกิดกับจิตที่ดีงาม ที่ว่า “จิตเป็นธรรมชาติที่รู้อารมณ์” นั้น อารมณ์ ในที่นี้หมายถึง สิ่งที่ถูกรู้โดยจิต มีทั้งที่เป็นบัญญัติ และที่เป็นปรมัตถ์ หรือที่เรียกง่าย ๆ ว่า รูป – นาม เมื่อมีโกรธเกิดขึ้น แล้วค่อยตามรู้ความโกรธ จิตขณะที่โกรธ ไม่มีสติ จิตขณะที่รู้ว่าโกรธ ขณะนั้นมีสติ
คัดบางส่วนจาก พระอาจารย์กฤช นิมฺมโล