ขณิกสมาธิ สมาธิชั่วขณะ สมาธิตั้งมั่นได้เล็กน้อยคงอยู่ไม่นาน เป็นสมาธิขั้นต้นพอสำหรับใช้ในการทำงานให้ได้ผลดี ให้จิตใจสงบสบายได้พักชั่วคราว และใช้เริ่มปฏิบัติวิปัสสนาได้
อุปจารสมาธิ สมาธิจวนจะแน่วแน่ก่อนที่จะเข้าสู่ภาวะแห่งฌาน จัดเป็นขั้นสูงสุดของกามาวจรสมาธิ มีที่กำหนดชัดเจนคือ ในอุปจารสมาธิ นิวรณ์ก็ถูกละได้ระดับหนึ่งแล้ว และองค์ฌานก็เริ่มเกิดคล้ายกับอัปปนาสมาธิ มีข้อแตกต่างเพียงว่า องค์ฌานยังไม่มีกำลังดีพอ ได้นิมิตพักหนึ่ง ก็ตกภวังค์พักหนึ่ง ขึ้นตกๆเหมือนเด็กตั้งไข่ เขาพยุงลุก ก็คอยล้ม ส่วนในอัปปนาสมาธิ องค์ฌานทั้งหลายมีกำลังดีแล้ว จิตตัดภวังค์แล้วคราวเดียว ก็ตั้งอยู่ได้ทั้งคืนทั้งวัน เหมือนบุรุษผู้มีกำลัง ยืนขึ้นแล้วก็ยืนได้ตลอดวัน ใช้ปฏิบัติวิปัสสนาได้
อัปปนาสมาธิ สมาธิแน่วแน่ หรือ สมาธิที่แนบสนิท นิวรณ์ 5 สงบระงับไปด้วยกำลังของสมาธิ เป็นสมาธิระดับสูงสุด ซึ่งมีในฌานทั้งหลาย (ฌานทุกลำดับจัดเป็นอัปปนาสมาธิ) ถือว่าเป็นผลสำเร็จที่ต้องการของการเจริญสมาธิ เกิดขึ้นได้ด้วยการรักษาอุปจารสมาธิที่เกิดขึ้นแล้วนั้นสม่ำเสมอไม่ให้เสื่อมหายไปเสีย จนในที่สุด ก็เกิดเป็นอัปปนาสมาธิ บรรลุปฐมฌาน เป็นขั้นเริ่มแรกของรูปาวจรสมาธิ
ระดับขั้นของฌาน
ปฐมฌาน มีองค์ฌาน 5 คือ
“วิตก” ยกจิตขึ้นสู่อารมณ์ หรือกำหนดยึดเอาอารมณ์มาไว้กับจิต หรือเอาจิตไปตั้งไว้กับอารมณ์ของกรรมฐานที่ตนเจริญอยู่นั้น จนแนบสนิทติดเป็นอันเดียวกัน “วิจาร” ค้นคว้าตริตรองอยู่ในอารมณ์นั้นอย่างใดอย่างหนึ่ง เช่น วิจารอยู่ในอสุภเป็นต้น
“ปีติ” เมื่อจิตเห็นชัดในอารมณ์นั้นแล้วก็เกิดปีติ
“สุข” เมื่อเกิดปีติแล้วก็เกิดสุข และ “เอกัคคตา
สมาธิขั้นนี้เมื่อปฏิบัติได้ในขณะเดินจงกรม จนสามารถทรงอารมณ์ได้ดีในขณะเดินยืนนั่งนอน จะสามารถปฏิบัติวิปัสสนาได้ตลอดเวลา
ทุติยฌาน มีองค์ฌาน คือ ปีติ สุข เอกัคคตา
- มีปีติ (วิตกวิจารณ์ หายไป)
- มีสุข
- มีอุเบกขา(เอกตา)
ตติยฌาน มีองค์ฌาน คือ สุข เอกัคคตา
- มีสุข(ปีติ หายไป)
- มีอุเบกขา(เอกตา)
จตุตถฌาน เป็นระดับสมาธิสูงสุดในรูปฌาน มีองค์ฌาน คือ อุเบกขา เอกัคคตา ลมหายใจจะดับสนิทเหมือนไม่มีลมหายใจ เมื่อไม่มีหายใจ กายสังขารก็ดับสนิท ไม่รับรู้ถึงกายอีกต่อไป เมื่อไม่มีกายสังขาร ความคิด ความสุข ความทุกข์ ปีติก็ไม่เกิดขึ้น เหลือแต่สติผู้รู้ จิตตั้งมั่นเด่นขึ้นมาเป็น เอกัคคตา ท่ามกลางความว่าง สถาวะนี้ไม่สุข ไม่ทุกข์ เป็น อุเบกขา อย่างยิ่ง ถ้าทำกรรมฐานด้วยวิธีกสิณ ดวงกสิณจะเปลี่ยนเป็นแก้วประกายพรึก ใสส่องสว่าง ระยิบระยับสวยงามมาก
อรูปฌาน เมื่อเจริญสมาธิถึงขั้นจตุตถฌานแล้ว ก็ปล่อยกรรมฐานที่ยึดเป็นอารมณ์ออก มายึดอารมณ์ของใช้เริ่มปฏิบัติวิปัสสนาได้แต่ละลำดับแทน อรูปฌานทั้งหลายมีองค์ฌานเพียง 2 อย่างเหมือนจตุตถฌาน คือ มีอุเบกขา และเอกัคคตา แต่มีข้อพิเศษคือสมาธิในอรูปฌานประณีตลึกซึ้งห่างไกลจากสิ่งรบกวนมากกว่ากันตามลำดับขั้น
อรูปฌาน 4
วิธีปฏิบัติขั้นอรูปฌาน
- อากาสานัญจายตนะ ฌานที่กำหนดอากาส คือ ที่ว่างอันอนันต์
- วิญญาณัญจายตนะ ฌานที่กำหนดวิญญาณ (อันแผ่ไปในที่ว่าง) อันอนันต์
- อากิญจัญญายตนะ ฌานที่กำหนดภาวะที่ไม่มีสิ่งใดๆ
- เนวสัญญานาสัญญายตนะ ฌานที่เลิกกำหนดสิ่งใดๆ โดยประการทั้งปวง เข้าถึงภาวะมีสัญญาก็ไม่ใช่ ไม่มีสัญญาก็ไม่ใช่ (ไม่มีสัญญาหยาบ มีสัญญาละเอียด)
ปุถุชน บำเพ็ญสมถะสำเร็จ สูงสุดได้เท่านี้ ส่วนพระอนาคามี และพระอรหันต์ มีกำลังสมาธิ และปัญญา รวมถึงจิตที่น้อมดิ่งไปสู่นิพพาน สามารถเข้าถึงภาวะที่ประณีตสูงสุดอีกขั้นหนึ่ง นับเป็นขั้นที่ 9 คือ สัญญาเวทยิตนิโรธ หรือ นิโรธสมาบัติเป็นภาวะที่สัญญาและเวทนาหยุดการปฏิบัติหน้าที่ และเป็นความสุขขั้นสูงสุด ถือเป็นภาวะที่ใกล้เคียงนิพพานมากที่สุด แต่ไม่ควรเข้าใจผิดว่าเมื่อเข้าสมาบัตินี้แล้วก็ตรัสรู้หรือบรรลุอรหัตตผลต่อไปภายในสมาบัตินั้นเลย พึงเข้าใจว่าเป็นปัจจัยเกื้อกูล อบรมสมาธิไว้ให้พร้อมสำหรับการบรรลุอาสวักขยญาณในลำดับต่อไป