ธรรมที่นำไปสู่ความหลุดพ้น

หลักธรรมที่นำไปสู่การปฏิบัติตนเพื่อการหลุดพ้นจากกิเลส

ในพระพุทธศาสนานั้น มีหลักธรรมคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าที่เป็นไปเพื่อความหลุดพ้นอยู่อย่างมากมายทีเดียว แต่หลักธรรมสำคัญที่นำไปสู่การบรรลุมรรคผลนิพพานนั้นพระพุทธเจ้าตรัสเรียกว่า “สันติบท”ซึ่งได้แก่ โพธิปักขิยธรรม คือ ธรรมอันเป็นฝักฝ่ายของการตรัสรู้เกื้อกูลแก่การ ธรรมเหล่าใดเป็นไปเพื่อบรรลุความสงบถูกต้อง ความสงบทำให้แจ้ง ความสงบ คือ สติปัฏฐาน 4, สัมมัปปธาน 4, อิทธิบาท 4, อินทรีย์ 5, พละ 5, โพชฌงค์ 7, อริยมรรคมีองค์ 8 เหล่านี้ก็ตรัสเรียกว่า "สันติบท"

1.สติปัฏฐาน  คือ การตั้งสติระลึกทันต่อรูปนามขันธ์  5 การเจริญสติมีอยู่  4  แห่ง  คือ  กายานุปัสสนาสติปัฏฐาน, เวทนานุปัสสนาสติปัฏฐาน, จิตตานุปัสสนาสติปัฏฐาน และ ธัมมานุปัสสนาสติปัฏฐาน  

2.สัมมัปปธาน 4 คือ ความเพียรต่อกุศลธรรมอย่างแรงกล้า 4 ประการ ได้แก่ 

  • เพียรพยายามในการละอกุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้ว 
  • เพียรพยายามป้องกันอกุศลธรรมที่ยังไม่เกิดขึ้น ไม่ให้เกิดขึ้น 
  • เพียรพยายามให้กุศลธรรมที่ยังไม่เกิดให้เกิดขึ้น  
  • เพียรพยายามให้กุศลธรรมที่เกิดขึ้นแล้วให้เจริญยิ่ง ๆ ขึ้นไป

3.อิทธิบาท  4  คือ  คุณ เครื่องให้ถึงความสำเร็จหรือธรรมที่เป็นเหตุให้ถึงความสำเร็จฌาน  อภิญญา  และมรรค ผล  ประกอบด้วยฉันทะ, วิริยะ, จิตตะ, วิมังสา 

4.อินทรีย์  5  ประกอบด้วย 

  • สัทธินทรีย์  คือ  ศรัทธาเป็นผู้ปกครองในความเลื่อมใสต่อสิ่งที่ควรเลื่อมใส 
  • วิริยินทรีย์  คือ  วิริยะเป็นผู้ปกครองในความพยายามต่อการอบรมในการเจริญสมถภาวนาและวิปัสสนาอย่างแรงกล้า  
  • สตินทรีย์  คือ  สติเป็นใหญ่เป็นผู้ปกครองในการระลึกถึงอารมณ์กรรมฐาน 
  • สมาธินทรีย์  คือ  สมาธิเป็นใหญ่เป็นผู้ปกครองในการกระทำจิตให้ตั้งมั่นในอารมณ์กรรมฐาน 
  • ปัญญินทรีย์  คือ ปัญญาเป็นใหญ่เป็นผู้ปกครองในการรู้ตามความเป็นจริงของอารมณ์กรรมฐาน  

5.พละ 5 ประกอบด้วย  สัทธาพละ, วิริยะพละ, สติพละ, สมาธิพละ, ปัญญาพละ

6.โพชฌงค์ 7 ประกอบด้วย สติสัมโพชฌงค์, ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ วิริยสัมโพชฌงค์, ปิติสัมโพชฌงค์, ปัสสัทธิสัมโพชฌงค์,สมาธิสัมโพชฌงค์, และอุเบกขาสัมโพชฌงค์  

7.มรรคมีองค์ 8  ประกอบด้วย    

  • สัมมาทิฏฐิ  คือ  ความเห็นชอบ 
  • สัมมาสังกัปปะ คือ ความดำริชอบ
  • สัมมาวาจา คือ การกล่าววาจาชอบ
  • สัมมากัมมันตะ  คือ การทำการงานชอบ
  • สัมมาอาชีวะ คือ การเลี้ยงชีพชอบ
  • สัมมาวายามะ คือ ความเพียรชอบ
  • สัมมาสติ คือ ความระลึกชอบ,
  • สัมมาสมาธิ คือ ความตั้งมั่นชอบ           

โพธิปักขิยธรรมเหล่านี้ เป็นหลักธรรมสำคัญที่สามารถนำไปปฏิบัติเพื่อบรรลุมรรคผลนิพพาน ตามหลักของพระพุทธศาสนา อันเป็นการกำจัดกิเลสชนิดต่าง ๆ ดังที่แสดงมาแล้วได้ อย่างนั้นการจะบรรลุธรรมได้หรือไม่ ก็ขึ้นอยู่กับวิธีที่ผู้ปฏิบัตินำไปใช้ว่าเหมาะสมกับการกำจัดกิเลสหรือไม่

วิธีปฏิบัติตนเพื่อการหลุดพ้น

สำหรับวิธีปฏิบัติตนเพื่อความหลุดพ้นจากกิเลสนั้น เบื้องต้นผู้ปฏิบัติต้องตั้งตนอยู่ในคุณธรรมเบื้องต้นสำหรับผู้ปฏิบัติ คือ ทาน ศีล ภาวนา ซึ่งเป็นวิธีปฏิบัติตนขั้นต้น จากนั้นจึงเริ่มปฏิบัติขั้นสูงขึ้นไป ซึ่งในพระพุทธศาสนามีวิธีการปฏิบัติเพื่อหลุดพ้นจากกิเลสเฉพาะตนที่สำคัญอยู่ 2 วิธี ได้แก่ 

1.การบำเพ็ญสมถกัมมัฏฐานหรือสมถภาวนา 

2.วิปัสสนากัมมัฏฐานหรือวิปัสสนาภาวนา ที่พระผู้มีภาคเจ้าทรงแสดงไว้  โดยเริ่มแรกของการปฏิบัติได้แก่การทำจิตใจให้สงบจากสิ่งที่เป็นอุปสรรค คือ สามารถตัดปลิโพธต่าง ๆ ได้ก่อน  จากนั้นจึงเจริญกัมมัฏฐาน 

จุดมุ่งหมายของกัมมัฏฐานนั้น ก็เพื่อชำระจิตของผู้ปฏิบัติให้บริสุทธิ์สะอาดกระทั่งบรรลุมรรค ผลนิพพาน อันเป็นจุดมุ่งหมายสูงสุดทางพระพุทธศาสนา การเจริญกัมมัฏฐานเป็นการปฏิบัติธรรมทางพระพุทธศาสนา ฝ่ายเถรวาทมีความเชื่อและยอมรับแนวการปฏิบัติตามที่ปรากฏหลักฐานในพระไตรปิฎกและอรรถกถาว่า เป็นวิธีการที่ถูกต้องตามหลักคำสอนของพระพุทธองค์ ซึ่งทรงประกาศธรรมจักรกัปปวัตนสูตรเป็นครั้งแรก มีอัญญาโกณฑัญญะเป็นผู้สามารถรู้และเข้าใจในธรรม จากนั้นจึงได้ทูลขออุปสมบทเป็นภิกษุรูปแรกในพระพุทธศาสนา 

ประเภทกัมมัฏฐาน อันปรากฏในพระไตรปิฎกซึ่งมีอยู่หลายประเภท  ในที่นี้จะกล่าวถึงกรรมฐานที่เกี่ยวข้องกับการฝึกฝนอบรมจิตซึ่งจำแนกเป็น 2 ประเภทดังนี้     

1.สมถกัมมัฏฐาน หมายถึง อุบายพัฒนาจิตให้เกิดความสงบ  โดยมีวัตถุประสงค์ให้เกิดสมาธิ ฌานสมาบัติ โลกียอภิญญา เป็นขบวนการพัฒนาศักยภาพสมาธิจิต กล่าวโดยย่อ มี ๗ หมวด 40  ประการ  มีกสิณ  10  เป็นต้น  ระบบของสมถกัมมัฏฐานมีสมมติบัญญัติเป็นอารมณ์  จุดมุ่งหมายสูงสุดได้แก่การบรรลุฌานสมาบัติ คือ สุขที่ยังท่องเที่ยวอยู่ในวัฏฏสงสารเท่านั้น 

ประโยชน์ของสมถกัมมัฏฐานประการหนึ่ง คือ การบรรลุภาวะที่จิตหลุดพ้นจากกิเลสชั่วคราว ที่เรียกว่า เจโตวิมุตติ ประเภทไม่เด็ดขาดกล่าวคือการละกิเลสด้วยอำนาจทางจิต โดยเฉพาะด้วยกำลังของฌาน กิเลสถูกสมาธิ กด ข่ม หรือทับไว้ ตลอดเวลาที่อยู่ในสมาธินั้น เรียกเป็นศัพท์ว่า วิกขัมภนปหาน ซึ่งวิกขัมภนปหานนี้เป็นจุดเริ่มต้นของการชำระกิเลส แม้จะเป็นเพียงการข่มไว้ แต่หากบำเพ็ญอย่างสม่ำเสมอก็อาจนำไปสู่การชำระกิเลสอย่างตัดขาดสิ้นเชิงได้

2.วิปัสสนากัมมัฏฐาน หมายถึง วิธีพัฒนาฝึกฝนสติปัญญาโดยอาศัยสมมุติบัญญัติเป็นบาท เพื่อการเข้าถึงปรมัตถ์เป็นอารมณ์ เมื่อกล่าวโดยองค์รวมได้แก่กรรมฐานที่ปรากฏในมหาสติปัฏฐานสูตร ที่เป็นแนวทางแห่งการประพฤติปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนา เพราะมีทั้งสมถะและวิปัสสนาอยู่ในตัว เป็นมรรควิถีหรือมรรคภาวนา มรรคปฏิปทาให้ถึงความดับทุกข์ ทางที่ให้ถึงอสังขตธรรม ผู้ใฝ่แสวงหาความหลุดพ้นพึงสำเหนียก เพื่อทำให้แจ้งอรหัตผล คือ ธรรมอันเกษมจากโยคะ เพื่อละราคะโทสะโมหะ กำหนดรู้ทุกข์ทำและดับเวทนา ละกิเลส อวิชชา ตัณหาและอุปทาน รู้ภพรู้สภาวะทุกข์ เพื่อทำให้แจ้งนิพพาน คือ ความบริสุทธิ์แห่งพรหมจรรย์ในทางพระพุทธศาสนา

วิปัสสนากัมมัฏฐานเป็นวิชาที่พระพุทธเจ้าทรงค้นพบ และเป็นศาสตร์เดียวที่สามารถทำให้ผู้ปฏิบัติตามอย่างถูกต้องหลุดพ้นไปจากอำนาจการครอบงำของกิเลส ตั้งแต่เบาบางจนกระทั่งหมดจดปราศจากกิเลสโดยสิ้นเชิง  วิปัสสนานั้น มาจากคำว่า “ วิ +ปัสสนา ” วิ แปลว่า แจ้ง,จริง,วิเศษ ปัสสนา แปลว่า เห็น (ปัญญา) เมื่อกล่าวโดยความหมาย คือ     

1.ปัญญาเห็นแจ้งเห็นชัด ในรูปนาม, อริยสัจจ์  

2.ปัญญาเห็นโดยอาการต่าง ๆ มีเห็นไตรลักษณ์, ปฏิจจสมุปบาท 

3.ปัญญาเห็นแปลกประหลาด (อัศจรรย์ในสิ่งที่ได้เห็นในขณะปฏิบัติ) 

วิปัสสนา คือ อุบายวิธีสำหรับฝึกจิตให้เกิดปัญญารู้แจ้งตามความเป็นจริง 

พระพุทธเจ้าได้ตรัสถึงความหมายของวิปัสสนาไว้ในพระไตรปิฎกว่า 

“วิปัสสนาที่เกิดขึ้นในสมัยนั้น เป็นไฉน ปัญญา กิริยาที่รู้ชัด ความวิจัย ความเลือกสรร ความวิจัยธรรม ความกำหนดหมาย ความเข้าไปกำหนด ความเข้าไปกำหนดเฉพาะ ภาวะที่รู้ ภาวะที่ฉลาด ภาวะที่รู้ละเอียด ความรู้อย่างแจ่มแจ้ง ความคิดค้น ความใคร่ครวญ ปัญญาเหมือนแผ่นดิน"

"ภิกษุทั้งหลาย เราจักแสดงอสังขตธรรม และทางที่ให้ถึงอสังขตธรรมแก่เธอทั้งหลาย อสังขตธรรม คืออะไร คือ ความสิ้นราคะ ความสิ้นโทสะ และความสิ้นโมหะ นี้เราเรียกว่าอสังขตธรรม  ทางที่ให้ถึงอสังขตธรรมคืออะไร คือกายคตาสติ  นี้เราเรียกว่าทางที่ให้ถึงอสังขตธรรม"

“ภิกษุทั้งหลาย โยคะ (กิเลสที่ผูกมัดสัตว์ไว้ในภพ) 4 ประการนี้ โยคะ 4 ประการอะไรบ้าง คือ 1.กามโยคะ  2.ภวโยคะ  3.ทิฏฐิโยคะ  4.อวิชชาโยคะ ปัญญาเครื่องทำลายกิเลส...สัมมาทิฏฐิ ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์ อันเป็นองค์มรรค นับเนื่องในมรรค นี้ชื่อว่าวิปัสสนา" 

ดังนั้น เมื่อพิจารณาตามความหมายในพระไตรปิฎกจะเห็นว่า วิปัสสนา หมายถึง“ปัญญาที่รู้ชัดเห็นจริงในธรรม” ซึ่งคล้อยตามนัยแห่งการปฏิบัติตามหลักโพธิปักขิยธรรม  37  ประการ  อันได้แก่ สติปัฏฐาน  4, สัมมัปธาน  4,  อิทธิบาท  4,  อินทรีย์  5,  พละ  5,  โพชฌงค์  7  และมรรคมีองค์  8  นั่นเอง โพธิปักขิยธรรมเหล่านี้เป็นธรรมที่เป็นฝักฝ่ายแห่งความตรัสรู้ คือ เกื้อกูลแก่การตรัสรู้ หรือ ธรรมที่เกื้อหนุนแก่อริยมรรค ซึ่งต้องพิจารณาควบคู่กันไปกับการปฏิบัติกัมมัฏฐานโดยการปฏิบัติไปตามหลักที่อิงอาศัยทฤษฎีพระสัทธรรม 3 ประการ โดยเริ่มจากการศึกษาให้ลึกซึ้งในหลักธรรมแต่ละประการ แล้วนำมาปฏิบัติควบคู่ไปกับกัมมัฏฐานที่กล่าวไว้ข้างต้น ไปตามลำดับจนสามารถกำจัดกิเลสและหลุดพ้นจากความทุกข์ในที่สุด

บทสรุป

การปฏิบัติตนเพื่อการหลุดพ้นนั้นต้องปฏิบัติตามหลักโพธิปักขิยธรรม 37 ประการ หลักธรรมดังกล่าวประกอบด้วยหลักธรรมย่อย 7 หมวด คือ สติปัฏฐาน  4, สัมมัปธาน  4,อิทธิบาท  4, อินทรีย์  5, พละ  5, โพชฌงค์  7 และอริยมรรคมีองค์  8 

หลักธรรมทั้ง 7 หมวดนี้ ผู้ปฏิบัติควรยึดปฏิบัติหมวดใดหมวดหนึ่งที่เหมาะสมกับจริตของตน และในเบื้องต้นผู้ปฏิบัติต้องรู้จักกิเลสหรือเครื่องร้อยรัดที่ทำให้ตนเองพัวพันอยู่ในวัฏฏะทุกข์เสียก่อน ซึ่งในทางพระพุทธศาสนานั้นได้ระบุถึงกิเลสหรือความทุกข์ชนิดต่าง ๆ ไว้อย่างมากมาย  จากนั้นจึงเริ่มต้นการบำเพ็ญกุศลธรรมชนิดต่าง ๆ ที่เป็นหมวดหมู่แห่งโพธิปักขิยธรรม เช่นเริ่มตั้งแต่การบำเพ็ญทาน และรักษาศีล อันเป็นส่วนเบื้องต้นแห่งอริยมรรค จนกระทั่งนำไปสู่การเจริญอริยมรรคในส่วนเบื้องปลายคือ การเจริญภาวนา ยกระดับจิตใจให้สูงขึ้นโดยการปฏิบัติสมถกัมมัฏฐานซึ่งเป็นอุบายสงบใจ อันเป็นขั้นแรกของการปฏิบัติเพื่อกำจัดกิเลส  ต่อจากนั้นเมื่อจิตตั้งมั่นมีสมาธิแล้วจึงควรยกจิตสู่อารมณ์ของวิปัสสนากัมมัฏฐาน ซึ่งจัดเป็นขั้นของการเจริญสัมมาสติ สัมมาสมาธิ จนสามารถทำตนให้หลุดพ้นจากกิเลสและความทุกข์ทั้งปวงได้ในที่สุด