ณ.จุดเริ่มต้น ความปรารถนาเพื่อให้ได้มาเพื่อสิ่งหนึ่งสิ่งใดจึงดิ้นรนไขว่คว้า สะสมบุญบารมี สะสมปัญญา(โลกีย์) เมื่อไม่สมหวังก็เฝ้าอธิษฐานทุกภพชาติไป เพราะอุปทานที่ติดตัวมานั้นเมื่อได้บังเกิดในภพชาติใหม่ อุปทานก็ได้เป็นจริง ได้เป็นคนเก่งเฉลียวฉลาด มากความสามารถ เช่นนี้จึงเป็นไปเพื่อสิ่งที่ดีทีสุดในชีวิตในภพชาตินั้น ต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฎฎสงสาร ด้วยโลกีย์วิสัยนี้ติดข้ามภพชาติ ได้เป็นมาเศรษฐี เป็นนายก และอื่นๆตามที่ตนปรารถนา แม้ความตายมาเยือนก็ยังยึดมั่นถือมั่นในอุปาทานนั้นเห็นแต่ความสำเร็จคือการเกิดโดยไม่เห็นการดับคือความไม่เที่ยงในชีวิต บุคคลเช่นนี้จึงเป็นผู้หลงอยู่ในสังสารวัฏ
ในทางกลับกันบนเส้นทางของภพชาตินั้น ถ้าเขาได้เป็นผู้ที่ได้เข้าใจความเป็นจริงของธรรม(ชาติ) หรือได้เกิดในภพชาติที่มีพระพุทธศาสนาและเป็นผู้ที่ศรัทธาในองค์พระพุทธ, พระธรรมคำสอน หรือพระสงฆ์ผุู้เป็นตัวแทนของพระองค์ในการเผยแผ่พระธรรมคำสอน จึงเป็นผู้ไม่หลง เป็นผู้มีสติจดจ่ออยู่กับพระพุทธ, พระธรรม และพระสงฆ์
เป็นผู้ที่ได้เรียนรู้ในแนวทางปฏิบัติเพื่อความดับทุกข์ได้สิ้น ตราบจนกว่าหมดสิ้นอาสวะกิเลสในภพชาติใดชาติหนึ่งเบื้องหน้า เป็นผู้สามารถค้นพบสัจจธรรมได้ด้วยตนเอง ได้เห็นว่าการเกิดนั้นเป็นทุกข์ การแก่นั้นเป็นทุกข์ ความเจ็บไข้ไม่สบายนั้นเป็นทุกข์ ความตายความพลัดพรากจากกันนั้นเป็นทุกข์
"เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขาร
เพราะสังขารเป็นปัจจัย จึงมีวิญญาณ
เพราะวิญญาณเป็นปัจจัย จึงมีนามรูป
เพราะนามรูปเป็นปัจจัย จึงมีสฬายตนะ
เพราะสฬายตนะเป็นปัจจัย จึงมีผัสสะ
เพราะผัสสะเป็นปัจจัย จึงมีเวทนา
เพราะเวทนาเป็นปัจจัย จึงมีตัณหา
เพราะตัณหาเป็นปัจจัย จึงมีอุปาทาน
เพราะอุปาทานเป็นปัจจัย จึงมีภพ
เพราะภพเป็นปัจจัย จึงมีชาติ
เพราะชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรา-มรณะ พรั่งพร้อมด้วย โสกะ ปริเทวะ ทุกข์ โทมนัส อุปายาส หรืออาสวะกิเลสนั่นเอง"
พี่หลวง